นกแก้ว
นกแก้ว หรือ
นกปากขอ (อังกฤษ: Parrot) เป็นอันดับของนกอันดับหนึ่ง
ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psittaciformes เป็นนกที่มีความแตกต่างกันมากทางสรีระ
คือมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ (19-100 เซนติเมตร ) มีหัวกลมโต
ลำตัวมีขนอุยปกคลุมหนาแน่น ขนมีแกนขนรอง ต่อมน้ำมันมีลักษณะเป็นพุ่มขน
ผิวหนังค่อนข้างหนา มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากนกอันดับอื่น ๆ คือ
จะงอยปากที่สั้นหนา และทรวดทรงงอเป็นตะขอหุ้มปากล่าง มีความคมและแข็งแรง
อันเป็นที่ของชื่อสามัญ ใช้สำหรับกัดแทะอาหารและช่วยในการปีนป่าย
เช่นเดียวกับกรงเล็บ[2] รูจมูกไม่ทะลุถึงกัน สันปากบนหนาหยาบและแข็งทื่อ
ขนปลายปีกมี 10 เส้น ขนกลางปีกมี 8-14 เส้น ไม่มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ขนหางมี 12-14
เส้น หน้าแข้งสั้นกว่าความยาวของนิ้วที่ยาวที่สุด
แข้งปกคลุมด้วยเกล็ดชนิดเกล็ดร่างแห นิ้วมีการจัดเรียงแบบนิ้วคู่สลับกัน คือ
เหยียดไปข้างหน้า 2 นิ้ว
(นิ้วที่ 2 และ 3) และเหยียดไปข้างหลัง 2 นิ้ว (นิ้วที่ 1 และนิ้วที่ 4) ซึ่งนิ้วที่ 4
สามารถหมุนไปข้างหน้าได้
นกแต้วแร้วท้องดำ
นกแต้วแร้วท้องดำ หรือ นกแต้วแล้วท้องดำ (อังกฤษ: Gurney's Pitta, ชื่อวิทยาศาสตร์: Pitta gurneyi) เป็นนกที่พบในพม่าและไทย ปัจจุบันพบได้ที่
เขานอจู้จี้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
ประเทศไทยแห่งเดียวในโลกเท่านั้น นกแต้วแร้วท้องดำถูกค้นพบครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2418 ในเขตตะนาวศรี ประเทศพม่า มีรายงานการพบครั้งสุดท้าย ในประเทศพม่าปี
พ.ศ. 2457 และไม่พบอีกเลยติดต่อกันนานถึง 50 ปี ทำให้ CITES ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ ต่อมาในปี พ.ศ.
2529 ถูกค้นพบในประเทศไทยโดย Philip D. Rould
และ อุทัย
ตรีสุคนธ์ [1] โดยพบ 44-45 คู่ แต่ในปี พ.ศ. 2540 เหลือเพียง 9 คู่เท่านั้น
ปัจจุบันคาดว่ามีอยู่ประมาณ 13-20 คู่เท่านั้น จึงถูกให้เป็นสัตว์ป่าสงวน 15
ชนิดของไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่ง IUCN เคยประเมินสถานภาพให้อยู่ในระดับใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CE) แต่จากการที่การสำรวจพบประชากรของนกชนิดนี้ในประเทศพม่ามากขึ้น ในปี
พ.ศ. 2551 จึงปรับสถานภาพให้ดีขึ้นเล็กน้อยเป็นใกล้สูญพันธุ์
หงส์
หงส์ (มักเขียนผิดเป็น หงษ์; อังกฤษ: Swan) เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในสกุล Cygnus ในวงศ์ Anatidae อันเป็นวงศ์เดียวกับเป็ดและนกเป็ดน้ำ
มีลักษณะทั่วไป มีขนสีขาวทั้งตัว จะงอยปากสีเหลืองส้มและมีปุ่มสีดำที่ฐานของปาก
มักรวมฝูงในบึงน้ำเพื่อกินพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบในทวีปเอเชียทางตอนเหนือ, ยุโรปทางตอนเหนือ, อเมริกา
และออสเตรเลีย หงส์
สามารถร่อนลงบนพื้นน้ำแข็งหรือผิวน้ำที่เยือกตัวเป็นน้ำแข็งได้
เพราะมีอุ้งตีนที่ใหญ่คล้ายใบพายซึ่งช่วยกระจายน้ำหนักได้เมื่อร่อนลง
แต่จะควบคุมการร่อนได้ดีกว่้าในบริเวณที่น้ำแข็งละลาย
หงส์มีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก่
หงส์ดำ (Cygnus atratus)
หงส์ทรัมปีเตอร์ (Cygnus
buccinator)
หงส์ทุนดรา (Cygnus columbianus)
หงส์ฮูเปอร์ (Cygnus cygnus)
หงส์ขาวคอดำ (Cygnus melancoryphus)
หงส์ขาว (Cygnus olor) เป็นชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด
หงส์ โดยปกติแล้วจะไม่พบในประเทศไทย
เป็นนกที่แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ มีระยะการฟักไข่ประมาณ 35-37 วัน ขณะที่ฟักไข่นั้น จะมีอุปนิสัยดุมาก เพื่อปกป้องไข่
ลูกหงส์เมื่อคลอดออกมาแล้ว จะมียังมีขนขึ้นไม่เต็ม และจะไม่มีลักษณะเหมือนตัวเต็มตัว
โดยปกติแล้ว หงส์เป็นนกที่มนุษย์ไม่ใช้เป็นอาหาร
แต่จะเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามได้ โดยมักเลี้ยงตามสระน้ำต่าง ๆ
ตามสวนสาธารณะหรือสถานที่ต่าง ๆ เพราะหงส์ถือเป็นสัตว์ที่มนุษย์ถือว่า
มีความสวยสง่างาม ท่วงท่าอ่อนช้อย โดยเฉพาะเมื่อว่ายน้ำ ช่วงคอที่ยาวระหง
จะโค้งงอเป็นรูปตัว S อีกทั้งยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความงามต่าง
ๆ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีคู่เดียวไปตลอดชีวิต[3] ได้มีการใช้หงส์ในสัญลักษณ์ต่าง
ๆ เช่น นิทานปรัมปราต่าง ๆ หรือในอุปรากรสวอนเลค ที่นิยมนำมาประกอบการแสดงบัลเลต์[4] หรือในความเชื่อของชาวจีน หงส์ถือเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง
ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ฮองเฮา เคียงข้างกับมังกร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย
ประจำองค์ฮ่องเต้ และยังจัดว่าเป็น 1 ใน 4 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองโลกมนุษย์และสวรรค์ด้วย ถือเป็นสัตว์อมตะ
ไม่มีวันตาย และหงส์ยังถือเป็นพาหนะของพระพรหม ซึ่งถือเป็น 1 ในตรีมูรติตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น
ห่าน
ห่าน (อังกฤษ: Goose, Gander) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้นสัตว์ปีก เป็นสัตว์ที่มนุษย์นิยมนำมาเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน หรือกำจัดวัชพืชในสวน
และนำมาเลี้ยงเพื่อบริโภคเป็นอาหาร ห่าน
จัดเป็นนกขนาดใหญ่ที่อยู่ในวงศ์ Anatidae อันเป็นวงศ์เดียวกับเป็ด, หงส์ และนกเป็ดน้ำชนิดต่าง ๆ ห่านมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับหงส์
แต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีจุดเด่น คือ
ในตัวผู้เมื่อถึงวัยโตเต็มที่แล้วจะมีปุ่มเนื้อแข็งหรือโหนกบริเวณก่อนถึงจะงอยปากตอนบน
เด่นเห็นได้ชัดเจน [1] ห่าน
แบ่งออกได้เป็น 3 สกุล ด้วยกัน (ดูในตาราง)
แต่ในส่วนในประเทศไทยที่กลายมาเป็นต้นสายพันธุ์ห่านที่เลี้ยงกันในเชิงพาณิชย์อย่างในปัจจุบัน
ได้แก่ ห่านเทาปากชมพู (Anser anser) และห่านเทาปากดำ
(A. cygnoides) ห่าน
เป็นสัตว์ที่นิยมเลี้ยงกันในเชิงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ด้วยว่ามีตัวใหญ่ มีเนื้อในปริมาณที่มาก
นิยมปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ เช่น ขาห่านอบหม้อดินกับเส้นบะหมี่ในอาหารจีน[3]
สายพันธุ์ห่าน ห่าน
ในปัจจุบันมีทั้งหมด 7 สายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ
1ห่านพันธุ์จีน (สีเทาลายและสีขาว) (Chinese) 2 ห่านพันธุ์เอ็มเด็น (Embden)
3ห่านพันธุ์ทูเลาส์ (Toulouse) 4ห่านพันธุ์ฟิลกริม
(Pilgrim)
5ห่านพันธุ์แอฟริกัน (หัวสิงโต) (African) 6ห่านพันธุ์แคนาดา
(ห่านป่า) (Canadian)
7ห่านพันธุ์อียิปต์เชียน
(Eqyptian)
นกเงือก
นกเงือก
(อังกฤษ: Hornbill) เป็นนกขนาดใหญ่
ที่อยู่ในวงศ์ Bucerotidae ในอันดับนกตะขาบ
(Coraciiformes) (บางข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลเก่าจะจัดให้อยู่ในอันดับ
Bucerotiformes ซึ่งเป็นอันดับเฉพาะของนกเงือกเอง
แต่ปัจจุบันนับเป็นชื่อพ้อง โดยนับรวมนกเงือกดินเข้าไปด้วย[1][2]) เป็นนกที่เชื่อว่าถือกำเนิดมานานกว่า 45 ล้านปีมาแล้ว นกเงือก
เป็นนกป่าขนาดใหญ่ ที่มีจุดเด่น คือ จะงอยปากหนาที่ใหญ่และมีโหนกทางด้านบนเป็นโพรง
ภายในโพรงมีเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้ำ[3] ส่วนใหญ่ลำตัวมีสีขาวดำหางยาว
ปีกกว้างใหญ่ บินได้แข็งแรง เวลาบินจะโบกปีกช้า ๆ กินผลไม้เป็นอาหารหลัก
และสัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ เป็นอาหารเสริม ทำรังในโพรงไม้ ตัวเมียจะเข้าไปกดไข่ในโพรงโดยใช้โคลนและมูลปิดปากโพรงไว้
เหลือเพียงช่องพอให้ตัวผู้อื่นส่งอาหารเข้าไปได้ เมื่อลูกนกโตพอแล้ว
จึงเจาะโพรงออกมา และจากจะงอยปากและส่วนหัวที่ใหญ่เหมือนโหนกหรือหงอนนั้น
ทำให้นกเงือกถูกใช้ในเชิงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมมาแต่โบราณ โดยใช้ทำเป็นเครื่องประดับของชนเผ่าต่าง
ๆ พบทั่วโลกมี 55 ชนิด [6]ใน 14 สกุล (ดูในตาราง) มีการแพร่กระจายอยู่ในแถบเขตร้อน ของทวีปแอฟริกา
และเอเชีย
นกเงือกเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว มีลักษณะการทำรังที่แปลกจากนกอื่น คือ
เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่
เช่น ต้นยาง ที่อยู่ในที่ลับตา เมื่อตัวเมียเข้าไปอยู่ในโพรง
จะทำความสะอาดแล้วเริ่มปิดปากโพรง ด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน เปลือกไม้
ตัวเมียจะขังตัวเองอยู่ภายในเพื่อออกไข่และเลี้ยงลูก นกเงือก
เป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติได้ประการหนึ่ง
เนื่องจากจะอาศัยอยู่ในป่าหรือพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์เท่านั้น
เนื่องจากนกเงือกเป็นนกขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก กินทั้งผลไม้และสัตว์เป็นอาหาร
อีกทั้งธรรมชาติในการหากินต้องอาศัยพื้นที่ป่าที่กว้าง[7] และยังเป็นตัวแพร่กระจายพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ ในป่าได้อย่างดีอีกด้วย
เนื่องจากเป็นนกที่กินผลไม้ชนิดต่าง ๆ ได้ถึง 300 ชนิด
และทิ้งเมล็ดไว้ตามที่ต่าง ๆ[3]
นกฮัมมิ่งเบิร์ด
นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศสผู้เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่
18 ได้เคยเอ่ยถึงนกฮัมมิงเบิร์ด (hummingbird) ว่าเป็นนกที่ธรรมชาติได้ประทานพรสวรรค์ให้มากเป็นพิเศษ
เพราะมันมีลีลาการบินที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกนกชนิดนี้มีลำตัวเล็ก น่ารัก
คือมีความยาวไม่เกิน 6
เซนติเมตร มันมีปากที่ยาวเรียวและแหลม ปีกเล็กๆ
ของมันสามารถกระพือได้เร็วถึง 80 ครั้ง/วินาที
ทำให้มันสามารถลอยนิ่งอยู่ในอากาศและบินถอยกลังก็ยังได้เราพบเห็นนกชนิดนี้ได้ทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่
5o เหนือและใต้ ถิ่นอาศัยของมันคือป่าที่มีภูเขา คนฝรั่งเศสเรียกมันว่า oiseaumouche แปลว่า นกที่ใหญ่กว่าแมลงวัน มันคือ beija flor ของคนสเปน ซึ่งหมายถึงนกที่จุมพิตดอกไม้
และคนคิวบาเรียนเรียกมันตรงไปตรงมาว่า zum zum ตามเสียงที่เขาได้ยินเวลามันบินนกฮัมมิงเบิร์ดตัวเมีย
ตามปกติมีขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย มันเป็นนกที่รักสันโดษ
รู้จักรักและหวงแหนถิ่นอาศัยของมันมาก
เมื่อใดก็ตามที่มันพบว่านกอื่นบุกรุกที่ที่มันเป็นเจ้าของ
มันจะต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์ นิสัยไม่ยอมและชอบต่อสู้นี้เอง ได้ทำให้ชาวอินเดียนเผ่า Astec ตั้งชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามตามชื่อของฮัมมิ่งเบิร์ดในช่วงเดือนพฤษภาคม
- มิถุนายน ฮัมมิงเบิร์ดจะเริ่มผสมพันธุ์ โดยจะใช้เวลานานไม่เกิน 2-3 วินาที
มันทำรังโดยใช้ เช่น เปลือกไม้ และตะไคร่ ไข่ของมันมีขนาดเล็กกว่าเม็ดกาแฟ
และจะต้องการฟักนาน 12-16 วันนกฮัมมิงเบิร์ดมักไม่ชอบการอพยพ
แต่จะมีบางชนิดที่บินอพยพไกลเป็นพันกิโลเมตร จากบริเวณที่มีอากาศหนาวไปวางไข่ในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น
ถึงแม้ว่าตัวของมันจะเล็ก
แต่มันก็สามารถบินได้ไกลกว่าและนานกว่าสัตว์อื่นที่มีขนาดตัวใหญ่กว่ามันมาก
เมื่อใกล้กำหนดที่มันจะอพยพ มันจะกินอาหารล่วงหน้าให้น้ำหนักตัวเพิ่มถึง 50
เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ก็เพื่อสะสมไขมันที่มันจะต้องใช้ในการเดินทางไกล
เปรียบเทียบกับคนที่หนัก 75 กิโลกรัมเขาจะต้องกินอาหารจนกระทั่งมีน้ำหนัก 110
กิโลกรัมให้ได้ภายใน 3 สัปดาห์จึงจะเก่งเท่านก แต่คุณสมบัติที่โดดเด่นและน่าสนใจที่สุดคือ
ความสามารถในการเก็บสะสมและปลดปล่อยพลังงานภายในตัวของมันในวารสาร Nature ฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 R. Dudley แห่งมหาวิทยาลัย Taxas
ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานผลการทดลองที่แสดงให้เห็นว่า
ฮัมมิ่งเบิร์ดมีพลังงานสะสมในร่างกายสูงมากกว่าสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลังทุกชนิดในโลก
เพราะมันสามารถปล่อยพลังงานได้ถึง 133 วัตต์ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ในขณะที่คนสามารถถ่านเทพลังงานออกมาได้เพียง 15 วัตต์ต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัมเท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น